“ยุคโลกร้อนสิ้นสุดลงแล้ว” และ “ยุค โลกเดือด เริ่มขึ้นแล้ว” นี่คือสิ่งที่มิสเตอร์อันโตนิโอ กูเตร์เรสเลขาธิการของ UN (United Nations) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศคือภาพที่ชัดเจน หลังอากาศร้อนจนเดือดพล่าน หรือ global boiling แต่อย่างน้อย “เรายังสามารถหยุดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้” หากเริ่มทำทันที
ทุกวันนี้กลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ G20 จากข้อมูลล่าสุดได้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนรวมกัน 80% ของการปล่อยมลพิษทั่วโลก จนทำให้โลกคล้ายกับ “เตาอบ” เนื่องจากถูกปกคุลมด้วยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาล แทำให้เกิดไฟป่ารุนแรง โดยเฉพาะที่ กรีซ อิตาลี โครเอเชีย และแคนดา ที่เกิดไฟป่ากว่า 1,000 จุด นอกนี้ทางยุโรปเสียชีวิตด้วยคลื่นความร้อนกว่า 60,000 ราย ในกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ภาคการเกษตรภายในปี 2045 อาจสร้างความเสียหายกับประเทศไทยกว่า 2.85 ล้านล้านบาท
เรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับ DQ >> https://dtech.or.th/dq
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่นการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง และถ่านหิน ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากขึ้นในบรรยากาศ ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิบนโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสภาวะภูมิอากาศทั่วโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศทางธรรมชาติต่างๆ ด้วย
ผลกระทบของภาวะโลกร้อนประกอบไปด้วยหลายปัจจัยดังนี้
การทำให้อุณหภูมิบนโลกเพิ่มขึ้น: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่าง CO2 ทำให้พื้นผิวโลกดูดรับความร้อนจากแสงอาทิตย์และกลับส่งคืนไปยังบรรยากาศได้น้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุณหภูมิบนโลกเพิ่มขึ้นเป็นผลต่อภาวะโลกร้อน
การระเหยของน้ำทะเล: อุณหภูมิบนโลกเพิ่มขึ้นส่งผลให้น้ำทะเลระเหยและขยายตัว ซึ่งอาจ导致การทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น มีผลกระทบต่อชายฝั่งและพื้นที่ชุมชนที่ติดชายฝั่ง
การเปลี่ยนแปลงในสภาพภูมิอากาศ: ภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิอากาศทั่วโลก เช่น ลมพัดที่แรงขึ้น การเกิดสภาวะฝนตกไม่สมดุล และเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่สัมพันธ์กับสภาวะภูมิอากาศ
ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต: การเปลี่ยนแปลงในสภาวะภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต รวมถึงพืชและสัตว์ ที่อาจต้องปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขใหม่ที่เกิดขึ้น
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม: ภาวะโลกร้อนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมากๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านการเงินและการอยู่อาศัย
เพื่อลดผลกระทบของภาวะโลกร้อน เราจำเป็นต้องร่วมมือกันในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา ผ่านการใช้พลังงานที่สะอาดและการกระทำในทางที่สร้างผลกระทบน้อยต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากที่สุด
หญ้าทะเล (Seagrass) เป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายกับหญ้าในบรรยากาศบนบก แต่มีลำต้นและใบเรียวยาวที่เติมตัวใต้ผิวน้ำทะเล หญ้าทะเลเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศทางทะเลและเป็นที่อยู่ของความหลากหลายชีวภาพทางทะเลหลากหลายชนิด
นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทะเลเพื่อส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของน่าอยู่ในทะเล โดยหนึ่งในคุณลักษณะที่น่าสนใจของหญ้าทะเลคือธาตุอาหารที่สร้างขึ้นจากกระบวนการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) สามารถเสริมการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำและสัตว์ทะเลอื่นๆ ในระบบนิเวศทะเลได้ด้วย
นอกจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตในทะเลแล้ว หญ้าทะเลยังมีบทบาทในการรักษาความสมดุลของน่าอยู่ในทะเล เนื่องจากเธอช่วยลดความเสี่ยงของคลื่นและกระทบของสภาวะอากาศต่อชายฝั่ง นอกจากนี้ เธอยังเป็นที่อยู่และที่หาอาหารของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด เช่น ปลา เงือก หอย และสัตว์น้ำทะเลอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม หญ้าทะเลกำลังถูกคุ้มครองและคาดหวังให้ได้รับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างดีเนื่องจากความสำคัญของบทบาทที่เธอเล่นในระบบนิเวศทะเล การตัดหญ้าทะเล การใช้สารเคมีในทะเล การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ และกิจกรรมมนุษย์อื่นๆ สามารถมีผลกระทบต่อการอยู่รอดของหญ้าทะเลและระบบนิเวศทางทะเลได้
หญ้าทะเลยังช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในทะเล หรือ Blue Carbon ได้ดีกว่าป่าบกถึง 4 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดูดซับโดยมหาสมุทรและระบบนิเวศชายฝั่ง อย่าง ป่าชายเลน ป่าพรุ น้ำเค็ม และแหล่งหญ้าทะเล ระบบนิเวศเหล่านี้จะทำหน้าที่เก็บกักคาร์บอนในรูปแบบ ชีวมวล
และการทับถมของตะกอนดินลงสู่ชั้นดิน ช่วยสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นอย่างดี แถมแหล่งหญ้าทะเลยังช่วยเพิ่มความหลากหลายทาง ชีวภาพ และยังทำให้เสมือนโรงงานบำบัดน้ำเสีย ปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น
ตราบใดที่ยังต้องคิดถึงเศรษฐกิจมันต้องโต ยังไงก็ลดภาวะโลกเดือดไม่ได้หรอก
เหตุผลเพราะทุกวันนี้ด้วยเพราะต้องการกำไรมากขึ้น ลัทธิบริโภคนิยมถึงต้องเติบโตไปเรื่อยๆ ผู้คนก็ถูกทำให้เกิดการใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น เอาแบบง่ายๆ เช่น กินแบบบุฟเฟห์ มันทำให้เราต้องกินเกินความต้องการเพราะต้องกินให้คุ้ม มือถือก็มียั่วให้เปลี่ยนทุกปีทั้งที่ของเดิมยังไม่พัง กระตุ้นให้คนเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เอารถออกมาขับ ขึ้นเครื่องบินโดยไม่จำเป็น
เพราะงั้นตราบใดที่ยังแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ คือมีหรือพวกระดับผู้นำจะไม่รู้ว่า จะต้องแก้ยังไงถึงจะได้ผล โลกก็จะยิ่งร้อนต่อไปตามการผลิตที่ฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีผู้นำประเทศไหนอยากทำให้ประเทศเติบโตน้อยลง เติบโตน้อยลงก็หมายถึงเศรษฐกิจฟืดกว่าเดิม ผลงานของผู้นำคนนั้นก็ดูไม่ดี ทำใจได้เลย
มันก็จะมีคนเสียชีวิตจากเรื่องนี้ทุกปีๆ และก็จะมากขึ้นทุกปี ซึ่งคนที่เสียชีวิตก็คือคนที่เข้าไม่ถึงอากาศเย็น ทนอึดอยู่กับอากาศร้อนไม่ไหว ถามว่า จะตื่นตัวกันเมื่อไร ก็คงจะต้องเหมือน pm2.5 ที่ต่อให้มีเงินก็หนีฝุ่นไม่พ้น ดังนั้น คงต้องรอให้ร้อนจนกระทั่งแม้แต่แอร์ก็เอาไม่อยู่ละมั้งฮะ ตอนนี้ผมก็พยายามปรับตัวทนกับอากาศร้อนให้ได้บ้าง เลือกจะไม่เปิดแอร์ เปิดพัดลมเอา เพราะรู้ตัวว่า ตัวเองเหมือนจะเปราะบางต่ออากาศร้อนเหมือนกัน ตากแดดไม่นานมึน เพลียพอสมควร
โปรดสังเกตว่าแม้ปีนี้ อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้นมากกว่าปีที่แล้วเยอะ แต่สาเหตุหลักก็มาจากอุณหภูมิน้ำทะเลแปซิฟิกที่ร้อนขึ้นในปีนี้ (วัฏจักรธรรมชาติ) กลายเป็นสภาวะเอลนิโญหลังจากอยู่ในลานีญามายาวกว่า 3 ปี และอีกส่วนที่สำคัญคืออุณหภูมิน้ำทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติกที่ร้อนกว่าปกติ ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุสำคัญด้วยที่ทำให้ยุโรปเหนือ เย็นกว่าปกติ ในขณะที่ยุโรปใต้ร้อนกว่าปกติ
เรื่องแบบนี้เราต้องขีดเส้นใต้กันให้หนักๆว่า ไม่มีเวลาให้แก้ตัวหรือรอคอยอีกแล้ว ดังนั้นบรรดาผู้นำประเทศหรือนักการเมืองรีบดำเนินแก้ไขให้เร็วที่สุด เพราะอากาศทุกวันนี้ เรายังหายใจลำบากเลย เพราะการแสวงหาผลกำไรจากการเผาไหม้เชื้อเพลงต่างๆ ที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนและการเพิกเฉยต่อสภาพอากาศร้อนจน โลกเดือด อย่างทุกวันนี้คือสิ่งที่ “รับไม่ได้”